รู้ไหมว่า? ๒๕ สิงหาคม เป็นวันบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

ช่วงใกล้สิ้นเดือน เมนูที่หลาย ๆ คนนิยมก็คงหนีไม่พ้น “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป”

แล้วบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีที่มาอย่างไร และเหตุใดจึงกลายมาเป็นเพื่อนแท้ยามยากของคนไทย?

.

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ โดยโมโมฟุคุ อันโดะ (Momofuku Ando) ผู้ก่อตั้งบริษัทนิชชินฟู้ดส์ (Nissin Foods) ได้คิดค้นผลิตภัณฑ์นี้ขึ้นเพื่อตอบโจทย์การเก็บรักษาอาหารให้ยาวนานขึ้น และสร้างความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภค ภายใต้ความเชื่อว่า “ถ้าท้องอิ่ม สันติสุขก็จะบังเกิด” โดยผลิตภัณฑ์แรกที่วางจำหน่ายคือ “ชิกินราเมน” (Chikin Ramen)

.

สำหรับประเทศไทย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เริ่มเข้ามาจำหน่ายในปี พ.ศ.๒๕๑๔ ไม่ได้มาจากญี่ปุ่นแต่เป็นไต้หวัน ซึ่งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ จึงเกิดการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทย เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเติบโตสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย เนื่องจากเป็นอาหารราคาประหยัด ทำง่าย และอิ่มเร็ว

.

เมื่อย้อนดูข้อมูลตั้งแต่เริ่มจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยอ้างอิงจากผู้ผลิตหลักในประเทศไทย เริ่มต้นจำหน่ายที่ราคา ๒ บาท/ซอง ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ก่อนค่อย ๆ ปรับราคาคราวละ ๕๐ สตางค์ - ๑ บาท จนมาหยุดอยู่ที่ ๕ บาท/ซอง ในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ และปรับมาอยู่ที่ราคา ๖ บาท/ซอง ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ และในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ จนถึงปัจจุบันมีการปรับราคามาเป็นซองละ ๗ บาท

.

ดังนั้นแล้ว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจึงไม่ได้เป็นเพียง “เมนูสิ้นเดือน” ของมนุษย์เงินเดือนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนภาพของอาหารที่อยู่เคียงข้างผู้คนในยามยาก และยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ อีกทั้งทำให้เห็นความสำคัญของเหรียญปลีกย่อยที่ช่วยควบคุมราคาสินค้าไม่ให้สูงเกินกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น หรือช่วยไม่ให้เกิดเงินเฟ้อนั่นเอง

.

เนื่องจากเงินปลีกย่อยช่วยทำให้ราคาสินค้ามีความยืดหยุ่น แม่นยำ และลดแรงกดดันจากการปัดเศษขึ้น โดยไม่จำเป็น จึงช่วยรักษากำลังซื้อของผู้มีรายได้น้อย เป็นการสร้างเสถียรภาพในระบบธุรกรรมรายย่อยให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น